อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ
แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ครั้งที่ 4 เวลาเรียน 13.10 เวลาเข้าสอน 13.10 เวลาเข้าเรียน
13.10 เวลาเลิกเรียน
16.40
ความรู้ที่ได้ในวันนี้..
วันนี้แต่ละกลุ่มนำเสนองานตามใบงานที่ได้รับมอบหมาย
กลุ่มที่ 1 การใช้ภาษาของเด็กปฐมวัย
กระบวนการพัฒนาการ หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของร่างกายและแบบแผนของร่างกายทุกส่วน
การเปลี่ยนแปลงนี้จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆเป็นขั้นอตน จากระยะหนึ่งไปอีกระยะหนึ่ง
ทำให้เด็กมีลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น
ซึ่งมีผลทำให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
องค์ประกอบของสติปัญญา
1. ความสามารถทางภาษา
1. ความสามารถทางภาษา
3. ความสามารถทางการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถทางการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
5. ความสามารถทางความจำ
6. ความสามารถทางเชิงสังเกต
7. ความสามารถทางมิติสัมพันธ์
โครงสร้างของสติปัญญา
(สติปัญญาเน้นสร้างและระดับทางการคิด)
1. การรับรู้
2. ความจำ
3. การเกิดความคิดเห็น
พัฒนาการของเด็กปฐมวัย
วัยทารกอายุแรกเกิด-2ปี
พัฒนาการเด็กในช่วงนี้เป็นรากฐานสำคัญ มีพัฒนาการทางร่างกายมากกว่าทุกวัย ปกติมากกว่า 2 เท่า และจะลดลงถึง 30% การใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับมากระทบจะเกิดขึ้นซ้ำอีกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เด็กมีทั้งสิ้น 11 อารมณ์
วัยทารกอายุแรกเกิด-2ปี
พัฒนาการเด็กในช่วงนี้เป็นรากฐานสำคัญ มีพัฒนาการทางร่างกายมากกว่าทุกวัย ปกติมากกว่า 2 เท่า และจะลดลงถึง 30% การใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับมากระทบจะเกิดขึ้นซ้ำอีกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เด็กมีทั้งสิ้น 11 อารมณ์
ภาษา หมายถึง
เครื่องมือสื่อความคิด คำพูด ความรู้สึก
1.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด
2.ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
3.ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
2.ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
3.ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
4.มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
5.ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาละเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
5.ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาละเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
กลุ่มที่ 2 แนวคิดของนักทฤษฎีทางภาษา
เพียเจต์ (Piaget) กล่าวว่า เด็กจะมีโอกาสพัฒนาทักษะจากการทำกิจกรรมต่างๆ
ไวกอตสกี้ กล่าวว่า
เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาของตนเองจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ
ตัวเด็ก
ฮอลลิเดย์ กล่าวว่า สภาพแวดล้อม รอบ ๆ
ตัวเด็กเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ และการใช้ภาษาของเด็ก
และการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องจะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาจาการเรียนรู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง
กู๊ดแมน กล่าวว่า ภาษาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตเด็ก
เด็กทุกคนต้องมีการเรียนรู้ภาษาที่เหมาะสม และใช้ภาษาเพื่อการเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง
ๆ สู่ภาษาพูด ภาษาเขียนสัญลักษณ์ต่าง ๆ
ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญของกระบวนการเรียนรู้
และการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในที่สุด
กลุ่มที่ 3 พัฒนาการด้านสติปัญญา
เด็กแรกเกิด-2 ปี เมื่อคุณยื่นหน้าเข้ามาใกล้เด็กจะจดจำหน้าได้ จำเสียงได้
การเรียนรู้ 0-1 เมื่อลูกได้ยินเสียงคุณเขาจะสอดส่ายสายตามองหาคุณอยู่ไหน
และพยายามมองตามใบหน้าของคุณ ขณะที่คุณกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหา
เมื่อลูกอายุมากกว่า 36 ชั่วโมง และเขาจะมองออกว่าเป็นคุณ
เมื่อคุณเข้ามาอยู่ในระยะไม่เกิน 30.5 เซนติเมตร จากสายตาเขา
อายุ 4 สัปดาห์: เมื่อคุณคุยกับเขาและเขาก็จะพยายามเลียนแบบ
อายุ 6 สัปดาห์ :เด็กจะยิ้มและสายตาของเขาจะมองตามของเล่นที่ส่ายไปมา
อายุ 8 สัปดาห์ :ชอบมองของที่มีสีสันสดใส
อายุ 8 สัปดาห์ :ชอบมองของที่มีสีสันสดใส
อายุ 3 เดือน :เด็ก
จะมองเห็นของเล่นที่แขวนอยู่เหนือศีรษะเขาได้ทันที
เขาจะยิ้มเมื่อพูดด้วยและจะส่งเสียงอ้อแอ้ตอบอย่างอารมณ์ดี
อายุ 4 เดือน :เด็กจะแสดงอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเมื่อถึงเวลาป้อนนม
เขาจะหัวเราะและจะเอามือปัดป่ายไปเมื่อมีคนเล่นด้วย
5 เดือน : เด็กจะเริ่มเข้าใจสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น และสามารถแสดงความกลัวและความโกรธออกมา
อายุ 6 เดือน :ทารกจะเริ่มสนใจกระจกเงา และสนใจที่เห็นใบหน้าตนเองอยู่ในนั้น เขาจะเริ่มชอบอาหารบางอย่างมากเป็นพิเศษ
อายุ 8 เดือน :เด็กจะเริ่มรู้จักชื่อของตนเอง และเริ่มเข้าใจคำว่า “ไม่” และเข้าใจว่าตนเองต้องการอะไรมากขึ้น
อายุ 6 เดือน :ทารกจะเริ่มสนใจกระจกเงา และสนใจที่เห็นใบหน้าตนเองอยู่ในนั้น เขาจะเริ่มชอบอาหารบางอย่างมากเป็นพิเศษ
อายุ 8 เดือน :เด็กจะเริ่มรู้จักชื่อของตนเอง และเริ่มเข้าใจคำว่า “ไม่” และเข้าใจว่าตนเองต้องการอะไรมากขึ้น
อายุ 10 เดือน :เด็กเริ่มตบมือได้จะสนุกกับการเล่น เขาจะโยนขงเล่นลงพื้นแล้วหยิบขึ้นมาใหม่
11 เดือน :ทารกจะเริ่มเรียนรู้และสนุกสนานกับเกมที่เล่นง่ายๆ เขาชอบหยิบของเล่นมาเขย่าให้เกิดเสียง
อายุ 12 เดือน :เขาจะพยายามทำอะไรก็ได้ให้คุณหัวเราะ แล้วก็ทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ เขาจะช่วยคุณถอดเสื้อผ้าของตัวเอง โดยการช่วยยกแขนขึ้นเป็นต้น
อายุ 12 เดือน :เขาจะพยายามทำอะไรก็ได้ให้คุณหัวเราะ แล้วก็ทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ เขาจะช่วยคุณถอดเสื้อผ้าของตัวเอง โดยการช่วยยกแขนขึ้นเป็นต้น
อายุ 15 เดือน : เขาจะเริ่มสนใจคนรอบข้าง เขาจะหอมแก้มได้
18 เดือน : เมื่อคุณกับลูกดูหนังสือด้วยกัน เขาจะเริ่มชี้ที่รูปภาพ เช่น สุนัข ลูกบอล
วัว และอาจพูดออกมาดังๆ ว่า “วัว” เป็นการแสดงความเข้าใจและความสามารถในการสื่อสารออกมา
อายุ 21 เดือน : เด็กจะเริ่มสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2 ปี : เด็ก จะชอบการอยู่ลำพังและเล่นอะไรของเขาไปคนเดียว
เขาจะเริ่มใช้ดินสอขีดเขียนในลักษณะเลียนแบบตัวหนังสือ เด็กจะเริ่มรู้ชื่อของ
สิ่งของต่างๆ ให้ เขาจะพูดคำนั้นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ
เพื่อนได้นำเสนอวีดีโอพัฒนาการเด็กแรกเกิด- 1 เดือน
สรุปวีดีโอ เด็กแรกเกิด-1เดือน จะกินนมแม่เพียงอย่างเดียวเด็กจะมองและจ้องตาแม่
พ่อแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการตามวัย คือการอุ้มและพูดคุยกับลูก
เพื่อทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับขั้น
กลุ่มที่ 4 พัฒนาการด้านสติปัญญา 2-4 เดือน
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์
(Piaget)
ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร
ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม
และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา
ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น
พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง
เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก
แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า
สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม
เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น
เพียเจต์สรุปว่า
พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่
แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม
สรุปวีดีโอ
เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์สนใจและโต้ตอบพูดคุยได้ดี
แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคน
กลุ่มที่ 5 พูดถึงเด็กอายุ 4-6 ปี
เด็กจะรับรู้และสังเกตได้ดีมาก
เด็กจะชอบถามทำไม? อะไร? และจะเข้าใจคำถามแบบง่ายๆ
พัฒนาการทางภาษา เด็กอายุ 4 -
6 ปี
-บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ได้
-บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ได้
-รู้จักเพศของตัวเอง
-ชอบถามทำไม เมื่อไร อย่างไร
และถามความหมายของคำ และมักเป็นคำถามที่มีเหตุผลมากขึ้น
-เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์
เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์จาก 4,000 - 6,000 คำ
และสามารถพูดได้ 5-6 ประโยคต่อคำ สามารถเล่าเรื่องซ้ำ 4
-5 ลำดับขั้น หรือ 4 -5 ประโยคในเรื่องหนึ่งได้
-เข้าใจคำถามง่ายๆ และตอบคำถามนั้นได้
แม้ในเด็กบางคนอาจจะยังพูดติดอ่าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้
-ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเอง
ให้คนอื่นๆ ฟัง ทั้งพ่อแม่ คนรอบข้าง และเพื่อน
-คิดคำขึ้นมาใช้โต้ตอบกับผู้ใหญ่ได้
-มักให้ความสนใจในภาษาพูดของผู้ใหญ่
โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทาน
-ชอบเรื่องสนุก ตลก ชอบภาษาแปลกๆ
ชอบฟังนิทานมาก และชอบฟังเพลง มักจะคอยฟังเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน จดจำคำศัพท์
และบทสนทนาเหล่านั้น โดยเฉพาะคำแสลงหรือคำอุทาน
-สามารถบอกชื่อสิ่งของในภาพที่เห็นได้
หรือเล่าเรื่องที่พ่อแม่เคยอ่านให้ฟังได้ และจะเล่นเป็นสุนัข เป็ด หรือสัตว์ต่างๆ
ในเรื่องนั้น พร้อมทำเสียงสัตว์เหล่านั้นประกอบได้
-สับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องเล่าในหนังสือเด็ก
กลุ่มที่ 6 จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 7 วิธีการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
เพื่อนกลุ่มนี้จะใช้วิธีสังเกต
วิธีการเรียนรู้ แต่จะไม่ไปถามเด็ก แต่เฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ห่างๆ
วีธีการเรียนรู้ของเด็ก ได้แก่
1 วิธีการเล่นเข้าสังคม การเรียนรู้ของเด็กเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางสติปัญญา
2 การช่วยเหลือตนเอง เป็นการเรียนรู้มาจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
กลุ่มที่ 9 องค์ประกอบของภาษาทางด้านภาษา
ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา
โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
-เสียง
-เสียง
-เสียงสระ
-เสียงวรรณยุกต์
เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/
เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ประโยค: เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ
ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ
(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น
“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ
(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น
“ กินใจ” หมายถึง รู้สึกแหนงใจ
“ กินแรง” หมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน
เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ประโยค: เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ
ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ
(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น
“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ
(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น
“ กินใจ” หมายถึง รู้สึกแหนงใจ
“ กินแรง” หมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน
กลุ่มที่ 10 องค์ประกอบของภาษาทางด้านภาษา
หลักการจัดประสบการณ์ ภาษาธรรมชาติ
หลักการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นหลักสำคัญในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาหลักสูตรให้เข้าใจ เพราะในการจัดประสบการณ์ให้เด็กอายุ 3
- 5 ปี จะต้องยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้การศึกษา โดยต้องคำนึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็กทุกคนทั้งเด็กปกติ
เด็กที่มีความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม สติปัญญา
รวมทั้งการสื่อสารและการเรียนรู้หรือเด็กที่มีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กพัฒนาทุกด้านทั้งด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมดุล โดยการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย บูรณาการผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเหมาะสมกับวัย และความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือบุคลากรที่มีความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาปฐมวัย เพื่อให้เด็กแต่ละคนได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นตอนของพัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข
สรุปวีดิโอ ภาษาธรรมชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น