วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเรียนครั้งที่ 7


   บันทึกอนุทิน     
  วิชาการจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี  26  กรกฎาคม  พ.. 2556
ครั้งที่ 7  เวลาเรียน 13.10     เวลาเข้าสอน 13.10     เวลาเข้าเรียน 13.10   เวลาเลิกเรียน 16.40      
ความรู้ที่ได้ในวันนี้..
       วันนี้อาจารย์ให้วาดรูปโดยที่ยังไม่บอกว่าจะให้ทำอะไร..พอวาดเสร็จอาจารย์ก็จะให้แต่ละคนออกมาเล่านิทานโดยใช้รูปภาพที่ตัวเองวาดนั้น เล่าต่อไปจนถึงคนสุดท้าย และให้ดูว่าเพื่อนคนไหนวาดรูปเก่ง เล่าเรื่องเก่งและมีจินตนาการมากที่สุด มีเพื่อนคนแรกออกไปเล่าเริ่มเรื่องที่"'ผีเสื้อ'' ส่วนฉันได้วาดรูปเค้กแสนอร่อย 1  ก้อนที่มีกล้วยกับสตอเบอร์รี่เป็นส่วนผสม แล้วก็ออกไปเล่าต่อจากเพื่อนที่วาดรูปสตอเบอรี่พอดีเลย :) ฉันได้เล่าว่า..
"เค้กก้อนนี้ เป็นเค้กที่เด็กแกะอ้วน..ทำเองเพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดของมารูโกะ โดยใช้สตอเบอร์รี่เป็นส่วนผสม.. และได้เชิญเพื่อนๆอีกมากมายมาเซอร์ไพรส์งานวันเกิดที่จะจัดขึ้น ในสวนที่มีดอกไม้และผีเสื้อแสนสวยมากมาย"

การทำกิจกรรมนี้ ทำให้เราได้รู้จักที่จะสังเกตและฝึกการใช้ความคิดจินตนาการและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาภาษาของเด็กได้ดี โดยให้เด็กได้เล่าเรื่องราวต่างๆตามความคิดของเด็กซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูก และให้เด็กได้วาดรูประบายสีซึ่งพัฒนาด้านอารมณ์ของเด็กโดยจะไม่ดูถึงความสวยหรือไม่สวยแต่เป็นการประเมินว่าเด็กพัฒนาการดีหรือไม่ และครูสามารถนำผลงานเด็กไปติดไว้ภายในห้อง และทำกิจกรรมนี้ไปเรื่อยๆเพื่อจะได้เห็นพัฒนาการของเด็ก
 
การประเมิน
1.ใช้เครื่องมือในการประเมินหลายแบบ ทำให้ได้ข้อมูลหลายหลายแม่นยำมีความเที่ยง มากกว่าใช้แบบประเมินแผ่นเดียว
2.เน้นที่ความก้าวหน้าของเด็ก บันทึกในสิ่งที่เด็กทำโดยจะไม่ประเมินในสิ่งที่เด็กทำไม่ได้ แต่จะดูสิ่งที่เด็กทำได้ ดูขั้นตอน จะทำให้สามารถส่งเสริมให้เด็กพัฒนาสู่ระดับสูงขึ้นได้
3.ประเมินจากบริบทที่หลากหลาย ดูหลายๆแบบ เด็กบางคนอาจมีด้านที่เก่งเด่นชัด แต่ไม่ได้หมายความว่าด้านอื่นๆจะเก่ง เป็นต้น
4.ให้เด็กมีโอกาสประเมินตนเอง ครูควรเอาผลงานเด็กมาติดเพื่อให้เด็กเห็นผลงานตนเอง
5.ให้ความสนใจทั้งกระบวนการและผลงาน  ครูที่ดีต้องดูกระบวนการคิดของเด็กแต่ละคนด้วย เพราะเด็กแต่ละคนคิดแตกต่างกัน

ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมทักษะทางภาษา


 เกมลากเส้น เส้น โดยไม่ยกปากกา ให้ผ่านจุดทุกจุด
อาจารย์ให้พวกเราลองเล่น แต่ไม่มีใครสามารถทำได้..เพราะไม่มีใครคิดว่าจะลากเลยขึ้นไปได้ กิจกรรมนี้ทำให้รู้ว่า การที่จะเป็นครูที่ดีต้องคิดนอกกรอบ ต้องพลิกแพลงสถานการณ์เหมือนการอยู่กับเด็กสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงจะมีมาก ฉะนั้นครูต้องมีความคิดที่หลากหลายและรอบคอบ

ต่อมาอาจารย์ได้เล่านิทานให้ฟังด้วยวิธีเล่าไปวาดไป โยรอบที่1ให้ฟังอย่างเดียว พอรอบที่2ให้วาดตามไปด้วย

เรื่องที่ 1 : ในป่าแห่งหนึ่งมีสุนัขจิ้งจอกอยู่ 1 ตัว สุนัขจิ้งจอกรู้สึกหิวจึงสร้างกับดักเพื่อหาอาหาร และจับผีเสื้อได้ 1 ถุง มันเดินไปเรื่อยๆเจอบ้านหลังที่ 1 จึงเอาถุงผีเสื้อไปฝากชาวนาไว้ ชาวนาเปิดถุงดู ทำให้ผีเสื้อที่อยู่ในถุงบินหนีหายไปหมด.. ชาวนาจึงเอาไก่มาใส่ไว้ในถุง พอสุนัขจิ้งจอกกลับมาเอา อุ๊ย!หนักกว่าถุงเดิมอีก..ต้องอิ่มแน่เลย สุนัขจิ้งจอกจึงเดินต่อไปเจอบ้านหลังที่ 2 แล้วนำถุงฝากชาวนาคนที่ 2 ไว้ ชาวนาเปิดถุงดู ทำให้ไก่ที่อยู่ในถุงบินหนีหายไปหมด.. ชาวนาไม่รู้จะทำยังไงดีจึงเอาของ 1 สิ่ง มาใส่ไว้ในถุงไพอสุนัขจิ้งจอกกลับมาเอา อุ๊ย!หนักกว่าถุงเดิมอีก.ตัวใหญ่จัง.ต้องอิ่มแน่เลย..สุนัขจิ้งจอกจึงเดินทางกลับ..แล้วมันก็เปิดถุงดู ปรากฎว่าข้างในเป็นสุนัขจิ้งจอก J
สุนัขจิ้งจอก

เรื่องที่ 2 : มีคุณยายคนหนึ่ง ย้ายมาจากกรุงเทพไปอาศัยอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง แล้วสงสัยว่าบนเกาะนั้นมีอะไรบ้าง คุณยายก็เดินไปเรื่อยๆ เจอต้นไม้ ต้นที่ 1 ต้นที่ 2 ต้นที่ 3 ต้นที่ 4 ต้นที่ 5 และต้นที่ 6 คุณยายรู้สึกชอบที่นี่ก็เลยสร้างบ้านขึ้นมา คุณยายเริ่มรู้สึกร้อนจึงไปเปิดหน้าต่าง 2 บาน แล้วเกิดอยากดูทีวีขึ้นมาแต่ไม่มีสัญญาณ คุณยายเลยต้องสร้างเสาอากาศ พอดูไปสักพักก็เริ่มเบื่อ เลยเอาเมล็ดพืชไปปลูกที่เกาะ เริ่มโยน  เมล็ดที่1 เมล็ดที่เมล็ดที่3   เมล็ดที่4   เมล็ดที่และ เมล็ดที่ 6  ทั้งหมด 6 เมล็ด แล้วคุณยายก็สร้างทางเดินที่แปลงเพื่อที่จะได้รดน้ำง่ายๆ ต้นไม้ก็โตๆ ขึ้นทุกวัน จนคุณยายคิดว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ไปไหนแล้ว..เกาะนี้จึงชื่อว่าเกาะเต่าทอง
เกาะเต่าทอง

กิจกรรมนี้สามารถนำไปใช้กับเด็กได้การเล่าไปวาดไปทำให้เด็กเกิดจินตนาการ ทำให้เด็กตื่นเต้น และถ้าให้เด็กมีส่วนร่วมด้วยนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์มากมาย เด็กจะเพลิดเพลิน และสามารถครูเก็บผลงานเด็กไว้ได้เพื่อประเมินเด็ก 


วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเรียนครั้งที่ 6


  บันทึกอนุทิน  
วิชาการจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี  19  กรกฎาคม พ.. 2556
ครั้งที่ 6  เวลาเรียน 13.10     เวลาเข้าสอน 13.10     เวลาเข้าเรียน 13.10   เวลาเลิกเรียน 16.40      

ความรู้ที่ได้ในวันนี้..

แนวการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
       1.) การจัดประสบการณ์ภาษาที่เน้นทักษะทางภาษา Skill Approch
1.ให้เด็กรู้จักส่วนย่อยของภาษา
2.การประสมคำ
3.ความหมายของคำ
4.นำคำมาประกอบเป็นประโยค
5.การแจกลูกสะกดคำ การเขียน

การแจกลูกคำ

Kenneth Goodman
-เสนอแนวทางสอนภาษาแบบธรรมชาติ
-มีความเชื่อมโยงระหว่างภาษากับความคิด
-แนวทางการสอนมีพิ้นฐานจากการเรียนรู้และธรรมชาติของเด็ก
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
1.สนใจและมีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบๆตัว
2.ช่างสงสัย ช่างถาม
3.มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
5.ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6.ชอบเลียนแบบคนรอบข้าง
อาจารย์ได้เปิดวีดีโอภาษาธรรมชาติให้ดู   http://www.thaiteachers.tv/vdo2.php?id=796
กล่าวสรุปวีดีโอ..มนุษย์เรียนรู้ภาษาเน้นความหมายการสื่อสารเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง ครูต้องคิดเป็นและสอนเด็กแบบธรรมชาติ ผู้ใหญ่ทุกคนที่แวดล้อมเด็กต้องเป็นแบบอย่างที่ดีการสอนภาษานั้นต้องบูรณาการเป้นกิจกรรมได้ทุกกิจกรรม*ควรให้เด็กได้ออกความคิดเห็นจะช่วยให้เด็กได้พัฒนาภาษา ต้องให้เด็กสื่อความคิดและดึงศักยภาพเด็กด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน ออกมาให้ได้มากที่สุด J

**ครูจะเห็นคำที่ครูพูด ครูก็ต้องเขียนและพูดไปด้วย พอเด็กได้เห็นครูทั้งพูดทั้งเขียน ซ้ำๆก็จะซึมซับ**
       2.)การสอนภาษาแบบธรรมชาติ Whole Language
1. สอนแบบบูรณาการ องค์รวม
2.สอนในสิ่งที่เด็กสนใจและมีความหมายสำหรับเด็ก
3.สอนสิ่งใกล้ตัวเด็กและอยู่ในชีวิตประจำวัน
4.สอดแทรกการฝึกทักษะ การฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกับการทำกิจกรรม
5.ไม่เข้มงวดกับการท่องสะกด
6.ไม่บังคับให้เด็กเขียน                                                                                                           
ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการสอนภาษาธรรมชาติ
Dewey // Piaget // Vygotsky // Haliday
- เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์และการลงมือกระทำ
- เด็กเรียนรู้จากกิจกรรมการเคลื่อนไหวของตนเองและการได้สัมผัสจับต้องกับสิ่งต่างๆแล้วสร้างความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง

หลักการ
1.การจัดสภาพแวดล้อม <เด็กต้องได้จัดด้วย>
2.การสื่อสารที่มีตความหมาย เช่น คำว่า ช้อน ภาษาธรรมชาติเราจะไม่สะกดแต่เราจะเขียนให้เด็กดูแล้ว เด็กเขียนตาม
3.การเป็นแบบอย่าง เช่น ภาษาในปัจจุบันอาจเขียนไม่ถูกต้องเราควรบอกเด็ก เพราะผลที่ตามมาอาจ ทำให้เด็กเกิดความเข้าใจผิด
4.การตั้งความหวัง
5.การคาดคะเน <เด็กต้องมีโอกาสในการคาดเดา>
6.การใช้ข้อมูลย้อนกลับ <ต้องยอมรับและตอบสนองให้เด็กทุกสถานการณ์>
7.การยอมรับนับถือ <เด็กมีความแตกต่างกัน เด็กเลือกกิจกรรมด้วยตนเองไม่ทำกิจกรรมตามขั้นตอน
8.สร้างความรู้สึกเชื่อมั่นให้กับเด็ก <ครูไม่ควรทำตัวให้เด็กกลัว เพราะเด็กอาจไม่กล้าเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ>
บทบาทครู
1.อย่าคาดหวังกับเด็กเพราะเด็กแตกต่างกัน
2.ยอมรับในความไม่ถูกต้องครบถ้วนของเด็ก

การเรียนครั้งที่ 5

     
 บันทึกอนุทิน  

วิชาการจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี  12  กรกฎาคม พ.. 2556
ครั้งที่ 5  เวลาเรียน 13.10     เวลาเข้าสอน 13.10     เวลาเข้าเรียน 13.10   เวลาเลิกเรียน 16.40      
ความรู้ที่ได้ในวันนี้..    
การนำเสนอของกลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 8  พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย 
พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดและความเข้าใจของเด็ก
ลำดับขั้น
1. อายุ0-2 ปี >> ทดลองใช้พฤติกรรม ลองผิดลองถูก
2. อายุ2-4 ปี >> เริ่มใช้ภาษาและเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์
3. อายุ5 ปี    >> เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับขนาด
พัฒนาการ
    กระบวนการพัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของร่างกายและแบบแผนของร่างกายทุกส่วน การเปลี่ยนแปลงนี้จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆเป็นขั้นอตน จากระยะหนึ่งไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้เด็กมีลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
องค์ประกอบของสติปัญญา   
     1. ความสามารถทางภาษา
     2. ความสามารถทางตัวเลข                        
     3. ความสามารถทางการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
     4. ความสามารถทางการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
     5. ความสามารถทางความจำ
     6. ความสามารถทางเชิงสังเกต
     7. ความสามารถทางมิติสัมพันธ์
โครงสร้างของสติปัญญา (สติปัญญาเน้นสร้างและระดับทางการคิด)
     1. การรับรู้
     2. ความจำ
     3. การเกิดความคิดเห็น

พัฒนาการของเด็กปฐมวัย
     วัยทารกอายุแรกเกิด-2ปี
พัฒนาการเด็กในช่วงนี้เป็นรากฐานสำคัญ มีพัฒนาการทางร่างกายมากกว่าทุกวัย ปกติมากกว่า 2 เท่า และจะลดลงถึง 30% การใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับมากระทบจะเกิดขึ้นซ้ำอีกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เด็กมีทั้งสิ้น 11 อารมณ์ 
        **การจัดประสบการณ์ให้เด็กง่ายๆ ควรจะให้เด็กบรรยายตามภาพง่ายที่สุด
อาจารย์ให้วาดภาพของที่รักที่สุดแล้วบอกว่าได้มายังไง?


            เป็นหมอนข้างกล้วยหอมจอมซนเป็นของที่แม่ซื้อให้ตอนเด็กๆ เพราะชอบดูการ์ตูนเรื่องนี้มาก..และตอนเด็กๆก็นอนก่ายมันทุกๆคืน

องค์ประกอบของภาษา
1. Phonology (เสียง)
     - คือระบบเสียงของภาษา
     - เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมาย
     - หน่วยเสียงจะประกอบขึ้นเป็นคำ เป็นภาษา
            รูป จ/า/น
2.Semantic (ความหมาย)
     - คือความหมายของภาษาและคำศัพท์
     - คำศัพท์บางคำสามารถมีได้หลายความหมาย
     - ความหมายเหมือนกันแต่ใช้คำศัพท์ต่างกัน 
        รูป
3. Syntay (ไวยากรณ์)
    - คือระบบไวยากรณ์
    - การเรียงรูปประโยค
4. Pragmatic (การนำไปใช้)
     - คือระบบการนำไปใช้
     - ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามสถานการณ์และกาลเทศะ 

แนวคิดนักการศึกษา
1. แนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยเด็กโดยใช้แรงเสริมไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ)

     1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Skinner
       - สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา
       - ให้ความสำคัญกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง

     2. John B. Watson
       - ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
      - การวางเงื่อนไขพฤติกรรมของเด็ก เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้และผู้ใหญ่ที่จะสามารถวางเงื่อนไขให้เด็กเกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้ทุกพฤติกรรม
    นักพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า
- ภาษาเป็นกระบวนการภายในของมนุษย์
- การเรียนภาษาเป็นผลจากการปรับพฤติกรรมโดยสิ่งแวดล้อม
- เด็กเกิดมาโดยมีศักยภาพในการเรียนรู้ภาษา
- เด็กจะสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบตัว
2. แนวคิดกลุ่มพัฒนาการทางสติปัญญา
     1. Piaget
       - เด็กเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
       - ภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
    2. Vygotsky
       - เด็กเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
       - สังคมบุคคลรอบข้าง มีผลต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
       - เน้นบทบาทของผู้ใหญ่
       - ผู้ใหญ่ควรช่วยชี้แนะและขยายประสบการณ์ด้านภาษาของเด็ก

3. แนวคิดของกลุ่มที่เชื่อเรื่องความพร้อมทางร่างกาย
     1. Arnold Gesell
        - เน้นความพร้อมทางด้านร่างกายในการใช้ภาษา
        - ความพร้อม วุฒิภาวะของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน
        - เด็กบางคนอาจมีความพร้อมทางร่างกายในการใช้ภาษาได้เร็ว
        - เด็กบางคนอาจมีปัญหาอวัยวะบางส่วนที่ใช้ภาษาในการสื่อสารบกพร่อง

4. แนวคิดของกลุ่มที่เชื่อว่าภาษาติดตัวมาตั้งแต่เกิด
    1. Noam Chomsky
      - ภาษาเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวมนุษย์
      - การเรียนรู้ภาษาขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ
      - มนุษย์ที่เกิดมาโดยมีศักยภาพในการเรียนรู้ภาษามาตั้งแต่เกิดเรียกว่า LAD (Language Acquisition Device)
   2. O. Hobart Mower
       - คิดค้นทฤษฎีความพึงพอใจ
" จะนึกถึงคำพูดคำแรกที่เด็กพูด เกิดจะความสามารถในการฟังเพลง ความเพลิดเพลินจากการได้ยินเสียงผู้อื่นและเสียงตัวเลข เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางภาษา"
แนวทางในการจัดประสบการณ์ทางภาษา
     - เป็นสิ่งที่สะท้อนปรัชญาและความเชื่อของครูเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
     - นำไปสู่การกำหนดกระบวนการที่ใช้อย่างแตกต่างกัน
 Richard and Rodger (1995) ได้แบ่งมุมมองต่อภาษาในการจัดประสบการณ์เป็น 3 กลุ่ม
     1. มุมมองด้านโครงสร้างของภาษา
        - นำองค์ประกอบย่อยของภาษามาใช้ในการสื่อความหมาย
        - เสียง ไวยากรณ์ การประกอบคำ วลี หรือประโยค
     2. มุมมองด้านหน้าที่ของภาษา
       - เชื่อว่าภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับสื่อความหมาย
       - การจัดประสบการณ์เน้นการสื่อความหมาย
       - ไม่ได้ละทิ้งแบบแผนหรือไวยากรณ์
     3. มุมมองด้านปฏิสัมพันธ์
       - เชื่อว่าภาษาเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม
       - การแลกเปลี่ยนประสบการณ์

       - เด็กมีปฏิสัมพันธ์ผ่านการใช้ภาษา

การเรียนครั้งที่ 4


   บันทึกอนุทิน  
วิชาการจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี  5  กรกฎาคม  พ.. 2556
ครั้งที่ 4  เวลาเรียน 13.10     เวลาเข้าสอน 13.10     เวลาเข้าเรียน 13.10   เวลาเลิกเรียน 16.40      
ความรู้ที่ได้ในวันนี้..
วันนี้แต่ละกลุ่มนำเสนองานตามใบงานที่ได้รับมอบหมาย
กลุ่มที่ 1   การใช้ภาษาของเด็กปฐมวัย
    กระบวนการพัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของร่างกายและแบบแผนของร่างกายทุกส่วน การเปลี่ยนแปลงนี้จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆเป็นขั้นอตน จากระยะหนึ่งไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้เด็กมีลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
องค์ประกอบของสติปัญญา  
     1. ความสามารถทางภาษา

     2. ความสามารถทางตัวเลข
    3. ความสามารถทางการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
     4. ความสามารถทางการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
     5. ความสามารถทางความจำ                                                    
     6. ความสามารถทางเชิงสังเกต
     7. ความสามารถทางมิติสัมพันธ์
โครงสร้างของสติปัญญา (สติปัญญาเน้นสร้างและระดับทางการคิด)
     1. การรับรู้
     2. ความจำ
     3. การเกิดความคิดเห็น

พัฒนาการของเด็กปฐมวัย
     วัยทารกอายุแรกเกิด-2ปี
พัฒนาการเด็กในช่วงนี้เป็นรากฐานสำคัญ มีพัฒนาการทางร่างกายมากกว่าทุกวัย ปกติมากกว่า 2 เท่า และจะลดลงถึง 30% การใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับมากระทบจะเกิดขึ้นซ้ำอีกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เด็กมีทั้งสิ้น 11 อารมณ์
ภาษา หมายถึง เครื่องมือสื่อความคิด คำพูด ความรู้สึก
ความสำคัญของภาษา
         1.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด
          2.ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
         3.ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
        4.มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
        5.ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น  มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาละเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
กลุ่มที่ 2 แนวคิดของนักทฤษฎีทางภาษา
เพียเจต์ (Piaget) กล่าวว่า เด็กจะมีโอกาสพัฒนาทักษะจากการทำกิจกรรมต่างๆ
ไวกอตสกี้ กล่าวว่า เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาของตนเองจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเด็ก
ฮอลลิเดย์ กล่าวว่า สภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัวเด็กเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ และการใช้ภาษาของเด็ก และการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องจะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาจาการเรียนรู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง
 กู๊ดแมน กล่าวว่า ภาษาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตเด็ก เด็กทุกคนต้องมีการเรียนรู้ภาษาที่เหมาะสม และใช้ภาษาเพื่อการเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ สู่ภาษาพูด ภาษาเขียนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ และการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในที่สุด
กลุ่มที่ 3 พัฒนาการด้านสติปัญญา
เด็กแรกเกิด-2 ปี เมื่อคุณยื่นหน้าเข้ามาใกล้เด็กจะจดจำหน้าได้ จำเสียงได้
การเรียนรู้ 0-1 เมื่อลูกได้ยินเสียงคุณเขาจะสอดส่ายสายตามองหาคุณอยู่ไหน และพยายามมองตามใบหน้าของคุณ ขณะที่คุณกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหา เมื่อลูกอายุมากกว่า 36 ชั่วโมง และเขาจะมองออกว่าเป็นคุณ เมื่อคุณเข้ามาอยู่ในระยะไม่เกิน 30.5 เซนติเมตร จากสายตาเขา
อายุ 4 สัปดาห์เมื่อคุณคุยกับเขาและเขาก็จะพยายามเลียนแบบ
 อายุ 6 สัปดาห์ :เด็กจะยิ้มและสายตาของเขาจะมองตามของเล่นที่ส่ายไปมา
อายุ 8 สัปดาห์ :ชอบมองของที่มีสีสันสดใส
อายุ 3 เดือน :เด็ก จะมองเห็นของเล่นที่แขวนอยู่เหนือศีรษะเขาได้ทันที เขาจะยิ้มเมื่อพูดด้วยและจะส่งเสียงอ้อแอ้ตอบอย่างอารมณ์ดี
อายุ 4 เดือน :เด็กจะแสดงอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเมื่อถึงเวลาป้อนนม เขาจะหัวเราะและจะเอามือปัดป่ายไปเมื่อมีคนเล่นด้วย
5 เดือน : เด็กจะเริ่มเข้าใจสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น และสามารถแสดงความกลัวและความโกรธออกมา
อายุ 6 เดือน :ทารกจะเริ่มสนใจกระจกเงา และสนใจที่เห็นใบหน้าตนเองอยู่ในนั้น เขาจะเริ่มชอบอาหารบางอย่างมากเป็นพิเศษ
อายุ 8 เดือน :เด็กจะเริ่มรู้จักชื่อของตนเอง และเริ่มเข้าใจคำว่า ไม่และเข้าใจว่าตนเองต้องการอะไรมากขึ้น
อายุ 10 เดือน :เด็กเริ่มตบมือได้จะสนุกกับการเล่น เขาจะโยนขงเล่นลงพื้นแล้วหยิบขึ้นมาใหม่
11 เดือน :ทารกจะเริ่มเรียนรู้และสนุกสนานกับเกมที่เล่นง่ายๆ เขาชอบหยิบของเล่นมาเขย่าให้เกิดเสียง
อายุ 12 เดือน :เขาจะพยายามทำอะไรก็ได้ให้คุณหัวเราะ แล้วก็ทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ เขาจะช่วยคุณถอดเสื้อผ้าของตัวเอง โดยการช่วยยกแขนขึ้นเป็นต้น
อายุ 15 เดือน : เขาจะเริ่มสนใจคนรอบข้าง เขาจะหอมแก้มได้
18 เดือน : เมื่อคุณกับลูกดูหนังสือด้วยกัน เขาจะเริ่มชี้ที่รูปภาพ เช่น สุนัข ลูกบอล วัว และอาจพูดออกมาดังๆ ว่า วัวเป็นการแสดงความเข้าใจและความสามารถในการสื่อสารออกมา
อายุ 21 เดือน : เด็กจะเริ่มสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2 ปี : เด็ก จะชอบการอยู่ลำพังและเล่นอะไรของเขาไปคนเดียว เขาจะเริ่มใช้ดินสอขีดเขียนในลักษณะเลียนแบบตัวหนังสือ เด็กจะเริ่มรู้ชื่อของ สิ่งของต่างๆ ให้ เขาจะพูดคำนั้นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ
เพื่อนได้นำเสนอวีดีโอพัฒนาการเด็กแรกเกิด- 1 เดือน
       สรุปวีดีโอ     เด็กแรกเกิด-1เดือน จะกินนมแม่เพียงอย่างเดียวเด็กจะมองและจ้องตาแม่ พ่อแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการตามวัย คือการอุ้มและพูดคุยกับลูก เพื่อทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับขั้น
กลุ่มที่ 4 พัฒนาการด้านสติปัญญา 2-4 เดือน
          ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม 
สรุปวีดีโอ เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์สนใจและโต้ตอบพูดคุยได้ดี แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคน
กลุ่มที่ 5  พูดถึงเด็กอายุ 4-6 ปี                      
เด็กจะรับรู้และสังเกตได้ดีมาก เด็กจะชอบถามทำไม? อะไร?  และจะเข้าใจคำถามแบบง่ายๆ
พัฒนาการทางภาษา เด็กอายุ 4 - 6 ปี
-บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ได้
-รู้จักเพศของตัวเอง
-ชอบถามทำไม เมื่อไร อย่างไร และถามความหมายของคำ และมักเป็นคำถามที่มีเหตุผลมากขึ้น
-เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์ เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์จาก 4,000 - 6,000 คำ และสามารถพูดได้ 5-6 ประโยคต่อคำ สามารถเล่าเรื่องซ้ำ 4 -5 ลำดับขั้น หรือ 4 -5 ประโยคในเรื่องหนึ่งได้
-เข้าใจคำถามง่ายๆ และตอบคำถามนั้นได้ แม้ในเด็กบางคนอาจจะยังพูดติดอ่าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้
-ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเอง ให้คนอื่นๆ ฟัง ทั้งพ่อแม่ คนรอบข้าง และเพื่อน
-คิดคำขึ้นมาใช้โต้ตอบกับผู้ใหญ่ได้
-มักให้ความสนใจในภาษาพูดของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทาน
-ชอบเรื่องสนุก ตลก ชอบภาษาแปลกๆ ชอบฟังนิทานมาก และชอบฟังเพลง มักจะคอยฟังเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน จดจำคำศัพท์ และบทสนทนาเหล่านั้น โดยเฉพาะคำแสลงหรือคำอุทาน
-สามารถบอกชื่อสิ่งของในภาพที่เห็นได้ หรือเล่าเรื่องที่พ่อแม่เคยอ่านให้ฟังได้ และจะเล่นเป็นสุนัข เป็ด หรือสัตว์ต่างๆ ในเรื่องนั้น พร้อมทำเสียงสัตว์เหล่านั้นประกอบได้
-สับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องเล่าในหนังสือเด็ก

กลุ่มที่ 6 จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

กลุ่มที่ 7 วิธีการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
เพื่อนกลุ่มนี้จะใช้วิธีสังเกต วิธีการเรียนรู้ แต่จะไม่ไปถามเด็ก แต่เฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ห่างๆ
วีธีการเรียนรู้ของเด็ก ได้แก่
1 วิธีการเล่นเข้าสังคม การเรียนรู้ของเด็กเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางสติปัญญา
2 การช่วยเหลือตนเอง เป็นการเรียนรู้มาจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
กลุ่มที่ 9  องค์ประกอบของภาษาทางด้านภาษา

          ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 
-เสียง 
-พยางค์และคำ
-เสียงสระ 
-เสียงวรรณยุกต์                                                           
เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/
เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้
ประโยค: เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ
ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ
(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น
“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ
(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น
กินใจหมายถึง รู้สึกแหนงใจ
กินแรงหมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน
กลุ่มที่ 10 องค์ประกอบของภาษาทางด้านภาษา
หลักการจัดประสบการณ์ ภาษาธรรมชาติ
            หลักการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นหลักสำคัญในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาหลักสูตรให้เข้าใจ เพราะในการจัดประสบการณ์ให้เด็กอายุ 3 - 5 ปี จะต้องยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้การศึกษา โดยต้องคำนึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็กทุกคนทั้งเด็กปกติ เด็กที่มีความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม สติปัญญา รวมทั้งการสื่อสารและการเรียนรู้หรือเด็กที่มีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กพัฒนาทุกด้านทั้งด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมดุล โดยการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย บูรณาการผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเหมาะสมกับวัย และความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือบุคลากรที่มีความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาปฐมวัย เพื่อให้เด็กแต่ละคนได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นตอนของพัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข
      สรุปวีดิโอ ภาษาธรรมชาติ  
เราไม่ควรคาดหวังให้เด็กมีพัฒนาการการเรียนรู้เหมือนกันทุกคนในห้องเพราะเด็กทุกคนมีความแตกต่างกัน